ร็อบบี วิลเลียมส์ (อังกฤษ: Robbie Williams) มีชื่อจริงว่า โรเบิร์ต พีเตอร์ แมกซ์มิลเลียน วิลเลียมส์ (Robert Peter Maximillian Williams) เกิดเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 เป็นนักร้องอังกฤษ อดีตสมาชิกวงเทค แดท ร็อบบีถือว่าเป็นนักร้องชายอังกฤษที่มียอดขายมากที่สุด ยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 77 ล้านชุดทั่วโลก
ร็อบบี เกิดในครอบครัวคาทอลิกใน นิวคาสเซิล-อันเดอร์-ไลม์ (Newcastle-under-Lyme) โตใน สโต๊ค-ออน-เทร็นท์ ประเทศอังกฤษ (Stoke-On-Trent) เมื่อร็อบบีมีอายุ 3 ปี บิดามารดาของเขาได้หย่าร้างกัน และเขาจึงอยู่กับมารดาและพี่สาว (ต่างบิดา) ของเขา ร็อบบีได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่ชื่อว่า “ เซ็นท มาร์การ์เร็ท วอร์ด (St. Margaret Ward) แต่สอบไม่ผ่าน จึงออกมาทำงานเป็นพนักงานขาย
จากนั้นร็อบบีได้เข้าสมัครคัดเลือกและเข้าเป็นสมาชิกในวง “ เทค แดท ” (Take That) ในขณะมีอายุ 16 ปี เทค แดทเป็นวงบอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีเพลงอันดับ 1 ถึง 12 เพลง (7 เพลงขณะร็อบบีอยู่ในวง) แต่ในภายหลัง ร็อบบีก็ออกจากวงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538
ร็อบบี วิลเลียมส์ ออกซิงเกิ้ลแรก Freedom เพลงเก่าของ จอร์จ ไมเคิล โดยในอัลบั้มแรกของเขาที่ชื่อว่า “ ไลฟ ธรู อะ เลนซ” (Life Thru A Lens) กับค่ายคริสสะลิส เร็คคอร์ดส (Chrysalis Records) ตามมาด้วยเพลง "Old Before I Die" (#2) , "Lazy Days" (#8) และ "South Of The Border" (#14) จนกระทั่งซิงเกิ้ลที่ชื่อว่า Angels ได้ปล่อยออกมาในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นการเน้นความดังของร็อบบี เพลงนี้อยู่ในชาร์ทนานกว่า 27 สัปดาห์ และขายได้ถึง 868,000 แผ่น
อัลบั้มที่สองเขาในปี พ.ศ. 2541 ที่ชื่อว่า I've Been Expecting You เปิดตัวด้วยเพลง Millennium เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงแรกในอังกฤษของร็อบบี และซิงเกิ้ลฮิตหลายเพลง เช่น เพลง Strong และเพลง No Regrets
The Ego Has Landed เป็นอัลบั้มที่ออกวางขายเฉพาะในอเมริกา เป็นการรวมเพลงจาก "Life Thru A Lens" และ "I've Been Expecting You" เข้าด้วยกัน
พ.ศ. 2543 อัลบั้มที่ชื่อว่า "Sing When You're Winning" ปล่อยเพลงฮิตRock DJ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ต่อด้วยเพลง "Kids" ร้องคู่กับ ไคลี มิโนค (#2) , "Supreme" (#4) , "Let Love Be Your Energy" (#10) และ "Eternity / The Road To Mandalay" (#1) อัลบั้มขายได้ 2,182,000 แผ่น
อัลบั้มถัดมา "Swing When You're Winning" เป็นอัลบั้มคัฟเวอร์เพลงแนว Pop-standard มีเพลงอันดับ 1 อย่าง "Somethin' Stupid} โดยร้องร่วมกับนิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) นักแสดงชาวออสเตรเลียน
ในปี พ.ศ. 2545 ร็อบบี ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับอี เอ็ม ไอ (EMI) ซึงมีมูลค่าประมาณหกพันล้านบาท เขาได้หยุดทำงานร่วมกับคู่หูซึ่งแต่งเพลงให้แก่เขามาเป็นระยะเวลานานที่ชื่อ “ กาย เชมเบอร์ซ” (Guy Chambers) อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งในหกเดือนต่อมา เพื่อทำงานเพลงร่วมกันในอัลบั้มถัดมาที่ชื่อว่า "Escapology" ซึ่งออกมาในช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มนี้ซึ่งก็คือ เพลง "Feel"
ในปี พ.ศ. 2546 ร็อบบีได้เล่นคอนเสิร์ต ที่ Knebworth ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 3 คืน โดยมีจำนวนผู้ชมรวมทั้งสิ้น มากกว่า 375,500 คน ซึ้งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในการแสดง คอนเสิร์ต ในปี 2003 นอกจากการแสดงสดแล้ว ยังมีอัลบั้มบันทึกการแสดงสดที่ใช้ชื่อว่า "Live at Knebworth" และ DVD บันทึกการแสดงสดที่ใช้ชื่อว่า "What We Did Last Summer"
ในปี พ.ศ. 2547 ได้ออกอัลบั้มรวมเพลง "Greatest Hits" มีเพลงอย่าง "Radio" ที่ทำงานร่วมกับ “ สตีเฟ่น ดัฟฟี่” ( Stephen Duffy) ซิงเกิ้ลอีกเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า "Misunderstood" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “ บริดเจ็ท โจนซ ไดอารี่ ตอน ดิ เอ็น ออฟ รีซืน” (Bridget Jones Diary : The Edge of Reason)
ตุลาคม พ.ศ. 2548 ได้ออกอัลบั้มที่ 9 "Intensive Care" อัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษขายได้มากกว่า 7 ล้านชุดทั่วโลก ปล่อยซิงเกิ้ลแรก "Tripping" ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ต่อด้วย "Advertising Space" และ "Sin Sin Sin" ซิงเกิ้ลถัดมา "Rudebox" จากอัลบั้มที่ 10 ขึ้นชาร์ทซิงเกิ้ลอันดับ 4 อัลบั้มนี้ ร่วมงานกับ Pet Shop Boys ,William Orbit ผู้ฝากฝีมือโปรดิวซ์ไว้ให้กับมาดอนน่า ไปจนกระทั่ง Soul Mekanik (โซล เมคานิค) ผู้ร่วมแต่งเพลง ‘Rock DJ’ และไอคอนของวงการดิสโกเฮาส์อย่าง Joey Negro (โจอี้ นีโกร) และ Mark Ronson (มาร์ก รอนสัน)
ในปี 2553 ร็อบบีได้กลับเข้าไปอยู่ในวงเทกแดทอีกครั้ง โดยเขาได้ออกอัลบั้มร่วมกับเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆในชื่อ Progress (2553) และ Progressed (2554) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก
ในปี 2555 ร็อบบีได้ออกไปทำงานเดี่ยวอีกครั้ง และได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอีก 2 ชุด ได้แก่ Take the Crown (2555) (โดยในอัลบั้มนี้มีเพลง Candy ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่ขึ้นถึงอันดับ 1) และ Swing Both Ways (2556)